กระทู้นี้ผมเขียนขึ้นมาจากความรู้เท่าหางอึ่งและประสพการณ์อันน้อยนิดของผม
เรียบเรียงมาเพื่อเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ปัญหาเครื่องยนต์ เผื่อจะได้นำไปใช้กันนะครับ... ???
1.ทำความเข้าและศึกษา หน้าที่ทำงานของแต่ละชิ้นส่วน ทั้งชิ้นส่วนหลักชิ้นส่วนย่อย
เช่น คาบูเรเตอร์มีหน้าที่ผสมน้ำมันกับอากาศให้เป็นฝอยละออกแล้วส่งต่อเข้าห้องแคร้ง
ผ่านทางหรีดวาล์ว หรีดวาล์วทำหน้าที่เป็นวาล์วกันกลับไม่ให้ไอดีไหลย้อนกลับมาที่
คาบูเรเตอร์ให้จังหวะดูด+อัด เป็นต้น
2.เก็บข้อมูลอาการของรถให้ได้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น เครื่องยนต์สตาร์ทติดยาก นอกหนือ
จากอาการสตาร์ทติดยากมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยหรือไม่ เช่น เดินเบาไม่นิ่งหรือเดินเบาไม่ได้
มีละอองน้ำมันพ่นออกจากปากคาบูเรเตอร์ รอบต่ำไม่มีกำลัง เป็นต้น อาการร่วมเหล่านี้จะนำไป
สู่ต้นตอของปัญหาได้ง่ายขึ้น
3.อาการของรถที่สภาวะต่าง ๆ เช่นเกิดอาการตอนที่เครื่องร้อนหรือเครื่องเย็น ที่รอบเครื่องเท่าไร
วิ่งช้าในเมืองหรืออัดหมดปลอก 300 กม รวด ตอนเช้าขณะที่ติดเครื่องครั้งแรก หรือว่าตอนที่ดับเครื่องใหม่ ๆ
4.สีของหัวเทียน จะบอกถึงลักษณะของครื่องยนต์ได้ ถ้าหัวเทียนมีสีน้ำตาลไหม้แสดงว่าการเผาให้สมบรูณ์
แต่ถ้าสีหัวเทียนมีเขม่าสีดำแสดงว่าส่วนผสมหนาไปหรือถ้ามีสีขาวเหมือนขี้เถ้าแสดงว่าส่วนผสมบางจัด
5.เสียงผิดปกติต่าง ๆ ขณะเกิดอาการ โดยเฉพาะเสียงจากห้องเครื่อง
ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราวิเคราะห์ปัญหาได้ง่ายขึ้นครับ....ฉบับหน้ามาดูวิธิการตรวจเช็ค เครื่องยนต์สตาร์ทติดยากกัน
ขอพักก่อนเมื่อยมือแล้ว......
ในการวิเคราะห์เราจะแบ่งเป็น 3 ระบบ ระบบจุดระเบิด-->ระบบเชื้อเพลิง-->กลไกเครื่องยนต์
มันจะเสียอยู่ 3 ระบบแค่นี้ละให้เช็คอาการดู แล้วตัดส่วนที่คาดว่าไม่ใช่ออกไป
ระบบจุดระเบิด
- ถอดหัวเทียนออกมาเช็คว่าสภาพเป็นยังไงบ้าง แฉะ มีกลิ่นน้ำมันเบนซินมั้ย หรือไม่มีกลินเบนซินเลย
ถ้าแฉะและมีกลิ่นเบนซินมาก แสดงว่าน้ำมันท่วมไม่งั้นก็หัวเทียนไม่มีประกายไฟ ถ้าไม่มีกลิ่นเบนซิน
แสดงว่าคาบูเรเตอร์ไม่จ่ายไอดี ก็ต้องมาเช็คที่ระบบเชื้อเพลิงต่อไป
- ถึบคันสตาร์ท และดูประกายไฟ ที่ออกจากหัวเทียน ต้องมีประกายไฟ สีส้ม ออกไปทางม่วง ถ้าไม่มีประกายไฟ
หรือออกมาสีส้มออกไปทางแดง แสดงว่าเป็นที่ระบบจุดระเบิด ก็ต้องมาเช็คกันว่าเป็นที่ มัดข้าวต้ม กล่อง คอล์ย หรือว่าหัวเทียน
ระบบเชื้อเพลิง
- ให้ลองบิดคันเร่งสุด แล้วสตาร์ทเครื่องดู ถ้าติดง่ายกว่าเดิม และตอนเครื่องติดตอนแรก มีควันขาวออกเยอะ ๆ
แสดงว่าน้ำมันท่วม ให้เปลี่ยนกรองเบนซิน และเช็คเข็มและเสื้อนมหนูลูกลอยดูครับ สึกมั้ย
- เอามือปิดปากคาบูเรเตอร์ ไม่ต้องปิดสนิทนะครับ สัก 3/4 แล้วสตาร์ทเครื่อง ถ้าติดง่ายกว่าเดิม แสดงว่า
ส่วนผสมบางจัดสาเหตุอาจเกิดจาก ระดับน้ำมันในห้องลูกลอยน้อยเกินไปอาจจะน้ำมันหมดหรือกรองตัน
หรือนมหนูเดินเบาตัน หรือเบอร์เล็กไป
เครื่องยนต์ อันนี้ต้องถอดดูนะครับ
- วาล์วควบคุมไอเสีย พวกที่ให้ไฟฟ้าควบคุมเบิดกุจแจ ที่ตำแหน่ง ON ก่อนสตาร์ท วาล์วไอเสียต้องอยู่
ในตำแหน่งเปิดสุด เพื่อให้ไอดี ไล่ไอเสียออกให้หมด จะได้ติดเครื่องได้ง่าย ยกเว้นพวกวาล์วไอเสียแบบกลไก
จะมีกล่องเก็บไอเสียสำหรับสร้าง Back Pressure อันนี้การทำงานจะเป็นอีกแบบ
- หรีดวาล์ว ต้องไม่โก่ง และต้องปิดสนิทนะครับ ถ้าโก่งหรือปิดไม่สนิท ติดเครื่องยาก เดินเบาไม่นิ่ง มีน้ำมันพ่นออกปากคาบูเรเตอร์
- ซีลจานไฟ อันนี้ถ้ารั่วจะมีอาการเดินเบาไม่ได้หรือไม่นิ่งคล้ายนมหนูเดินเบาตัน เข็นกระตุกติดรอบต่ำไม่มีกำลัง
มีคราบน้ำมันออกมาแต่ต้องถอดชุดจานไฟออกมาถึงจะมองเห็น
- แหวนหัก จะมีเสียงดังที่เครื่องยนต์ จะมีอาการเครื่องไม่มีกำลังร่วมด้วย เข็นกระตุกติดบ้างไม่ติดบ้างขึ้นอยู่กับว่าแหวนหักกี่ตัวกี่ท่อนและ
ลูกสูบหลวมมากน้อยแค่ไหน
เมื่อยมืออีกแล้ว ฉบับหน้าต่อเรื่องการตรวจเช็คระบบจุดระเบิด เด้อพี่น้อง
รอติดตาม
รอครับ อยากรู้
เยี่ยม จริงจริงครับ.
เข้ามาเสพข้อมูล
เข้ามามั่วเพื่อเอาไปทำบ้าง... >:(
ความรู้ครับ..+1
เยี่ยม+1ครับ
สุดยอด ขอบคุณคร๊าบ อย่างนี้แหล่ะที่รอมา น๊าน นาน
มาดูการตรวจเช็คระบบจุดระเบิดกัน
ระบบจุดระเบิดของเครื่องยนต์เบนซินจะแบ่งได้ 2 แบบ คือแบบทองขาว และแบบ CDI (Capacitor Discharge Ignition Systen) ถูกรึป่าว ไม่แน่ใจ
แบบทองขาวเราจะขอข้ามไปก่อนเพราะใช้น้อยมากแล้วแต่ก็ยังมีใช้อยู่บ้าง อายุการใช้งานสั้น ต้องมีการบำรุงรักษาอย่าง
ต่อเนื่อง มาดูแบบ CDI กันดีกว่า....
แบบ CDI ก็จะแบ่งออกเป็น แบบคอล์ย CDI และ กล่อง CDI
(http://img831.imageshack.us/img831/2667/cdiu.jpg) (http://img831.imageshack.us/i/cdiu.jpg/)
คอล์ย CDI จะรวมชุด กล่องCDI และ คอล์ยจุดระเบิดอยู่ในชุดเดียวกัน ถ้านึกภาพไม่ออกให้ไปหารถ G.T.O มารื้อดูนะครับ
อีกอย่างของข้อแตกต่าง คอล์ย CDI ไม่ต้องการสัญญาณพัลเซอร์ คอยล์(สัญญาณอ้างอิงตำแหน่งจุดระเบิด)จากล้อแม่เหล็ก
แบบกล่อง CDI แบบนี้จะได้รับความนิยมอย่างมากเนื่องจากให้ประกายไฟที่แรงกว่าและมีการจุดระเบิดที่แม่นยำกว่า
แต่ข้อเสีย แพง และมีอุปกรณ์มากชิ้นกว่า
(http://img838.imageshack.us/img838/1758/cdiy.jpg) (http://img838.imageshack.us/i/cdiy.jpg/)
แบบกล่อง CDI จะแบ่งออกได้ 2 แบบ ( ทำไมแบ่งได้เยอะมากมายขนาดนี้)
อนาล็อก CDI ใช้ไฟจากแมกนิโต ข้อดีราคาถูกกว่าทนทานแต่ที่รอบต่ำ ๆ ไฟไม่แรง ทำให้ติดครื่องยากกว่าแบบ ดิจิตอล CDI
ดิจิตอล CDI ใช้ไฟจากแบตเตอรรี่ ข้อดีไฟแรงคงที่แต่เปลืองไฟแบต อีกอย่างถ้าแผ่นชาร์จเสียมีการชาร์จกระแสไฟเกินเมื่อไหร่ละก้อ งานเข้า กล่อง CDI มีสิทธ์ไหม้ เหอ ๆ ๆ ๆ
แล้วที่พิมพ์มาตั้งมากมาย ไม่เห็นเกี่ยวกับเทคนิคการตรวจเช็คระบบจุดระเบิดเลยนี่หว่า เมี่อยมือแล้ว ติดตามต่อฉบับหน้าครับ
สุดยอดเลยคับ
ผมอ่านไม่ไหว เซฟใส่เวิด ปริ้นออกมาอ่านเอา ตาลายเลยผม
ดีมากเลยครับๆๆ..+1
:D เยี่ยมครับพอดีรถผมมีปัญหาขอความรู้จากพี่เยอะๆนะครับ :(
ที่นี้มาดูเทคนิคการตรวจเช็คระบบจุดระเบิดกัน
อย่างที่บอกไวแต่ตอนแรก สีของหัวเทียนสามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของเครื่องยนต์ได้
(http://img857.imageshack.us/img857/484/85953946.jpg) (http://imageshack.us/photo/my-images/857/85953946.jpg/)
ถ้าฉนวนหัวเทียนมีสีขาว ปนเทาออกไปทางน้ำตาล (ตกลงจะสีไหนกันแน่) แสดงว่าการเผาไหม้สมบรูณ์ ปกติดีทุกอย่าง
แต่ถ้า ฉนวนหัวเทียนมีสีน้ำตาล ออกไปทางดำ แสดงว่า ส่วนผสมหนาไป อาจเป็นเพราะโช้คค้าง กรองตัน ปรับส่วนผสมไม่ถูก หรือขี่รถช้าไป
แต่ถ้าฉนวนมีสีคล้ายขี้เถ้า ขาว ๆ เงา ๆ จับอยู่แสดงว่า ส่วนผสมบาง อาการคือ ความร้อนขึ้นสูง เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง
ข้อสังเกตอีกอย่างดูดี ๆ เขี้ยวหัวเทียนจะเกิดการสึกหรออันเนื่องมาจากความร้อนขึ้นสูงด้วย(ขอบของเขี้ยวหัวเทียนจะไม่คม)
แต่ถ้ามีคราบน้ำมันหรือคราบเขม่าเหนียวติดอยู่แสดงว่าน้ำมัน 2T ผสมอยู่ในไอดีมาก อาจเพราะตั้งปั้ม 2T ไม่ถูกหรือใช้น้ำมัน 2T คุณภาพต่ำก็อาจเป็นได้
(http://img198.imageshack.us/img198/1940/71953563.jpg) (http://imageshack.us/photo/my-images/198/71953563.jpg/)
รู้สึกว่าจะออกทะเลมาเกินไปแล้ว ฉบับหน้ามาดูการตรวจเช็คระบบจุดระเบิดครับ ตอนนี้เมี่อยมือแล้ว ขอตัวก่อนครับ :'(
มาดูเทคนิคการวิเคราะห์ปัญหาระบบจุดระเบิดกัน นายแบบผมจะขอเป็น GTO นะครับ เพราะว่าเป็น Coil CDI เช็คง่าย
เทคนิคการตรวจเช็ค
- เริ่มเช็คจากส่วนที่ง่ายที่สุด ไปหาส่วนที่ยาก
- ตรวจเช็ค ตามทิศทางของการไหลของกระแสไฟ เพื่อป้องกันการสับสนและเพื่อง่ายในการลำดับขั้น
สมมุติว่า G.T.O ตัวแรงสตาร์ทไม่ติด อันดับแรกเลยนะครับ ถอดหัวเทียนออกมาดูประกายไฟ และให้ดูสีหัวเทียนด้วย
ถ้าประกายไฟที่ออกจากหัวเทียนไม่มาพอก็จะไม่เกิดการจุดระเบิด อีกอย่างเขม่าที่ติดอยู่กับฉนวนของหัวเทียนจะทำให้
ไฟส่วนหนึ่งรั่วลงกราวได้และทำให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าไม่สูงพอที่จะกระโดดข้ามเขี้ยวหัวเทียนได้..........
(http://img190.imageshack.us/img190/9412/p16tu.jpg) (http://imageshack.us/photo/my-images/190/p16tu.jpg/)
รูปด้านบนเป็นการจำลองลักษณะของการจุดระเบิด เริ่มจาก (1)ประกายไฟกระโดดข้ามจากแกนมาลงกราวที่เขี้ยวหัวเทียน
(2)ไอดีเกิดการติดไฟ(3)เปลวไฟลุกลามไปเผาไหม้ไอดีที่อยู่ข้างเคียง(4)เกิดการจุดระเบิด
(http://img580.imageshack.us/img580/4821/gtoii.jpg) (http://imageshack.us/photo/my-images/580/gtoii.jpg/)
โม้มานาน เข้าเรื่องกันซะที วงจรไฟข้างบนเป็นของ GTO II เส้นสีเหลือง ๆ ที่เห็นเป็น
วงจรจุดระเบิด นะครับสมมุติว่าไม่มีประกายไฟมาที่หัวเทียน
อันดับแรก ให้ถอดปลั้กหัวเทียนออกแล้วเอาสายคอลย์มาจ่อที่โครงรถห่างประมาณครึ่งเซนต์
ถีบคันสตาร์ทถ้ามีประกายไฟออกมาแสดงว่า ปลักหัวเทียนชำรุดไม่งั้นก็หัวเทียนบอด
ต่อครับ ถ้าทดสอบตามข้างต้นแล้วไม่มีประกายไฟ ให้ลองถอดขั้วสายสวิทซกุจแจและขี้วสาย
สวิทซ์ดับเครื่องออก และถีบคันสตาร์ทดูถ้ามีประกายไฟออกมาที่หัวเทียนแสดงว่าสวิทซ์กุจแจหรือ
สวิทซ์ดับเครื่องชำรุดลืมบอกไปวิธินี้ใช้ไม่ได้กับระบบจุดระเบิดแบบ Digital CDI นะครับ
ถ้าลองถอดขั้วสายสวิทซ์กุจแจแล้วยังไม่มีไฟมาที่หัวเทียนให้ลองถอดสายไฟแรงต่ำที่เข้าคอล์ย ถียคันสตาร์ทและให้เอา
สายไฟเขี่ยกับโครงดู ถ้ามีประกายไฟตรงที่เราเขี่ยแสดงว่ามัดข้าวต้มยังใช้งานได้ดีแต่คอล์ยไม่งั้นก็สายคอล์ยชำรุดแต่ถ้าไม่มี
ประกายไฟตรงที่เราเอาสายไฟเขี่ย ต้องมาไล่กันที่ระบบมัดข้าวต้มแล้วละครับ
ทดสอบมัดข้าวต้ม ให้ทดสอบโดยเอาสายไฟที่ออกจากมัดข้าวต้มจะไปเข้าคอล์ยผมจะไม่ขอเอ่ยนะครับว่าต้องถอดตรงไหน
เพราะรถแต่ละคันไม่เหมือนกัน บางคันมีขั้วสาย บางคันโดนตัดไปแล้ว ถ้าดูตามวงจรจะมีขั้วสายไฟที่ออกจากชุดมัดข้าวต้ม ถอดขั้ว
ออกมาแล้วใช้สายไฟต่อ ถีบคันสตาร์ทแล้วเอาสายไฟเขี่ยกับโครง ถ้ามีประกายไฟตรงที่เราเขี่ยแสดงว่า สายไฟระหว่างมัดข้าวต้ม กับ
คอล์ย ขาด แต่ถ้าไม่มีประกายไฟแสดงว่า มัดข้าวต้มของระบบจุดระเบิดเสียแล้ว
วีธีการข้างต้นเป็นวิธีการเช็คคร่าว ๆ นะครับ โดยไม่ต้องใช้มัลติมิเตอร์ ถามว่า Ok มั้ย ผมก็จะตอบว่า พอแก้ขัดได้ เป็นวิธีที่ช่างสมัยก่อน
เค้าใช้กัน แต่ถ้าจะให้ดีน่าจะมีมัลติมิเตอร์ติดลังเครืองมือไว้สักตัว ผมว่าก็ดีนะครับ
เมื่อยมือแล้ว ฉบับหน้ามาคุยกันเรื่องระบบจ่ายเชื้อเพลิงครับ
ความร้อนขึ้นเสียงเเหวน เคอาผมเปนอะใร มั่ยใด้อัดซะเตมที่นะขี่เบาๆมั่ยเกิน80
+1 ครับ ข้อมูลดีๆ
+1 สำหรับข้อมูลครับ
อ้างจาก: maxx krr เมื่อ พฤษภาคม 23, 2011, 10:49:09 หลังเที่ยง
ความร้อนขึ้นเสียงเเหวน เคอาผมเปนอะใร มั่ยใด้อัดซะเตมที่นะขี่เบาๆมั่ยเกิน80
แบ่งอาการออกเป็น 2 อย่างนะครับ
- ความร้อนขึ้นสูง
- เสียงแหวน
ความร้อนขึ้นสูง มีอยู่ 2 แบบ
เข็มวัดความร้อนขึ้นสูง แต่อุณหภูมิน้ำไม่สูง ==>ปกติแล้ว อุณหภูมิทำงานของเครื่องยนต์ จะอยู่ที่ประมาณ 83-97 C
แตกต่างจากนี้ไม่มากแล้วแต่รุ่น ถ้าเข็มความร้อนขึ้นสูงแต่หม้อน้ำไม่ร้อนมาก พอเอามือแตะได้ (หรือถ้าจะให้ชัวร์ ๆ เอา
ตัววัดอุณหภูมิมาวัดแล้วอุณภูมิน้ำยังอยู่ในช่วงอุณหภูมิทำงาน)แสดงว่า วงจรวัดอุณหภูมิทำงานผิดพลาด(เช็คเซนเซอร์-->สายไฟ-->เกจวัด)
เข็มวัดความร้อนขึ้นสูง และอุณหภูมิน้ำสูงด้วย ==>ถ้าเข็มความร้อนขึ้นสูง มีไอร้อนออกจากเครื่องยนต์มากผิดปกติ
หม้อน้ำร้อนจนแทบเอามือแตะไม่ได้ ท่อยางร้อนจัดบวมเป่งเข็งจนบีดไม่เข้า หรือว่าน้ำเดือดมีน้ำดันออกทางฝาหม้อน้ำ แสดงว่าเป็นทีระบบระบายความร้อน
อันดับแรกให้เช็ค
- ระบบหล่อเย็น ระดับน้ำต่ำกว่าปกติมั้ย สีน้ำหล่อเย็นผิดปกติมั้ย ถ้ามีระดับต่ำให้จัดการเติมซะ หรือถ้ามีสีน้ำนมขุ่น แสดงว่าปั้มน้ำรั่ว
ให้ตรวจเช็คหม้อน้ำ ถ้าครีบล้ม หรือ อุดตันทำให้ระบายความร้อนได้ไมดีก็เป็นสาเหตุให้ความร้อนขึ้นสูงได้
- แต่ถ้ามั่นใจว่าระบบหล่อเย็นดีทุกอย่าง แต่ความร้อนยังสูงอยู่ ให้มาดูที่ ระบบเชื้อเพลิง ส่วนผสมบางมั้ย เกิดการชิงจุดมั้ย โดย
สังเกตุได้จากสีหัวเทียน หรือว่าอาจเป็นเพราะตีปลอกมาหนาก็ได้ ถ้าตีปลอกมาหนาเกินไป จะส่งผลต่อการถ่ายเทความร้อน
ระหว่างลูกสูบกับเสื้อสูบได้ไม่ดี ต้องถอดลูกสูบออกมาดู จะมีรอยไหม้ ของน้ำมันออโต้ลูป เป็นคราบติดลูกสูบ สีน้ำตาลออกดำดูคล้าย ๆ
กับ เวลาเราใช้ ออโต้ลูป คุณภาพต่ำ
แต่ถ้าหาสาเหตุไม่เจอจริง ๆ ไม่ต้องตกใจ ให้ถอดหม้อน้ำส่งให้ร้านหม้อน้ำเค้าขยายหม้อน้ำให้ บอกเค้ารับรองหายไข้ชัวร์
แต่การขยายหม้อน้ำจะเป็นวีธีการแก้ไขที่ปลายเหตุนะครับ
ฉบับหน้ามาต่อกันเรื่อง เสียงเครื่องดัง...
เสียงแหวนดัง ต้องมาดูว่าดังจากตรงไหนถ้าจะให้ชัวร์ ต้องถอดมาดูถึงจะรู้
เพราะว่าเสียงแหวนดังกับเสียงลูกปืนก้าน/สลัก จะเสียงคล้าย ๆ กัน
ถ้าติดเครื่องเดินเบาดังโลด ยิ่งเร่งยิ่งดัง มีอยู่ 4 อย่าง
- ร่องแหวนที่ลูกสูบสึกทำให้เกิดการกระเพือของแหวน ดังแกร๊ก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
- ลูกปืนสลัก ลูกปืนก้าน ถ้าหลวมมาก ๆ จะมีเสียงเขก แกร๊ก ๆ ตรงฝาสูบ ถ้าถอดฝาสูบมาดูจะเห็นว่ามีรอยกระแทก
ที่หัวลูกสูบ
แต่ถ้าอาการเบาดังแต่พอเร่งสักหน่อยเสียงหาย ส่วนมากจะเป็นลูกยางคลัชครับ ต้องถอดมาดูอีกละ เหอ ๆ ๆ ๆ
สรุป ถ้าเสียงดังที่เครื่อง ต้องรื้อออกมาดูครับ ถึงจะรู้....
โทษทีคับลูกยางครัชอยู่ตรงใหนลักษณะอย่างใร
ผม+2ให้คับถูกใจมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
อ้างจาก: maxx krr เมื่อ พฤษภาคม 24, 2011, 09:54:01 หลังเที่ยง
โทษทีคับลูกยางครัชอยู่ตรงใหนลักษณะอย่างใร
อยู่ในชุดชามคลัช...ต้องผ่าเครื่องฝั่งคลัชออกมาถึงจะเห็นชามครัช
+1ม้าครับ :D
แจ่มเป็ด
+1เลยความรู้ทั้งนั้นเอาไปใช้ได้เลย
แจ่มโคตร
ขอโทษที่รบกวนเวลาของพี่หน่อยนะครับ คือว่าผมมี nsr150rr อะครับ พอขี่ปชัก 60 ควันก็ม่ค่อยออกเท่าหร่ครับ แต่เกิน 60
ขึ้น ควันออกเยอะมากเลยครับ เกิดจากอะไรครับ มีวิธีแก้ไขอย่างไงครับ (รถก็เดินเบาปกติครับ) ขอบคุณพี่มากครับ
แจ๋วดีขอรับ :D
แต่คงต้องยาวหน้าดูเลยนะ เรื่องไฟตัน น้ำมันช๊อตเนี่ย
จิตใจดีจริงๆ เอาใจช่วยขอรับ
ตอนนี้ยังแจกม้าไม่ได้ เอาไป ในนี้ก่อน +5 ไปเลย
ขอบคุณครับ......ที่นำความรู้ มาแบ่งปัน......
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆคับ......../-+
เข้ามาเก็บความรู้ครับ เพียบเลย
ขอบคุณครับ
ข้อมูล แน่นมาก ขอบคุณครับ
เป็นประโยชน์มากครับ
+1 ครับความรู้ทั้งนั้น
ความรู้ทั้งนั้น
เก็บๆความรู้คับ
เยี่ยมมากๆเลยคับ :D
ความรู้ทั้งนั้นครับ..
:D :D :Dขอบคุณครับ
ขอบคุณข้อมูลดีๆมีประโยชน์มากมายครับ
ความรู้ดีๆ ทั้งนั้น ???
เยี่ยมครับ :D :D :D :D :D
มาสืบข้อมูล
ความรู้ทั้งนั้นขอบคุณมากครับ
เขัามาหาความรู้ :-[